โดย admin | ธ.ค. 15, 2018 | ข่าวสาร
เตือน คนหางาน ระวังถูกหลอกไปทำงานภาคเกษตรที่ แคนาดา กรมการจัดหางาน ประกาศเตือนคนหางานอย่าหลงเชื่อเฟสบุ๊คชักชวนให้ไปทำงานภาคเกษตรที่แคนาดา เนื่องจากแคนาดาไม่รับแรงงานต่างชาติประเภทไร้ทักษะเข้าทำงานแล้ว ย้ำระวังถูกหลอกเสียเงินฟรี และอาจต้องเสี่ยงภัยในต่างแดน
นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน แจ้งว่า กรมการจัดหางานได้ตรวจพบเฟสบุ๊ครายหนึ่งที่อ้างว่าอยู่ในเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ซึ่งได้โพสต์ข้อความชักชวนคนงานไทยที่มีประสบการณ์ด้านการทำงานในภาคเกษตรและกำลังทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอลให้ไปทำงานแบบถาวรกับบริษัทที่มีชื่อเสียงรายหนึ่งในประเทศแคนาดา โดยระบุให้ผู้สนใจกรอกแบบฟอร์มการประเมินผู้สมัครงานจากลิงค์ที่อยู่ด้านล่างของเฟสบุ๊คดังกล่าว จากนั้นให้คนงานรอการติดต่อกลับจากตัวแทน หรือให้โทรสอบถาม ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยหมายเลข 050 ซึ่งน่าจะเป็นเบอร์โทรที่ใช้ในต่างประเทศ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าปัจจุบันประเทศแคนาดาไม่อนุญาตให้คนงานต่างชาติประเภทไร้ทักษะเข้าไปทำงานในประเทศแคนาดามานานแล้ว ทั้งยังยกเลิกการออกวีซ่าให้แก่คนงานต่างชาติที่จะเข้าไปทำงานภาคเกษตร ยกเว้นคนงานต่างชาติที่ทำงานเก็บหนอนในฟาร์มเกษตรในประเทศแคนาดาอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การที่มีผู้กล่าวอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้เข้าไปทำงานภาคเกษตรแบบถาวรได้ จึงไม่น่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด
นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวย้ำเตือนคนหางานและแรงงานไทยในอิสราเอล ว่า อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างหลอกว่าสามารถช่วยให้ไปทำงานประเภทไร้ทักษะในประเทศแคนาดาได้ เพราะอาจต้องสูญเสียทรัพย์สินและตกระกำลำบากอยู่ในต่างแดน อย่างไรก็ตาม หากประสงค์จะไปทำงานต่างประเทศ ขอให้คิดอย่างรอบคอบ คำนึงถึงความคุ้มค่า และต้องไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย โดยตรวจสอบข้อมูลของบริษัทก่อนตัดสินใจสมัครงาน สอบถามข้อมูลหรือแจ้งเรื่องร้องทุกข์การหลอกลวงคนหางานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 6763 หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
ขอบคุณข้อมูลจาก :https://www.doe.go.th/
โดย admin | ธ.ค. 2, 2018 | ข่าวสาร
กนร. เห็นชอบเปิดศูนย์เก็บข้อมูลแรงงานชั่วคราวทางการเมียนมา ที่ สมุทรสาคร วันที่ 3 ธันวาคม 2561 เวลา 10.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) ครั้งที่ 2/2561 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมประชุม อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบให้จัดตั้งศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวของทางการเมียนมา ณ บริเวณตลาดทะเลไทย เพื่อจัดเก็บข้อมูลเฉพาะแรงงานเมียนมา ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 แรงงานเมียนมาที่ต้องการเปลี่ยนเอกสารประจำตัวเป็นหนังสือเดินทาง (กลุ่มที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติหรือจัดทำทะเบียนประวัติในประเทศไทยที่ถือหนังสือเดินทาง (Passport) หนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport : TP) และเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity : CI)) โดยทางการเมียนมาใช้คำว่า กลุ่มคน Function A และกลุ่มที่ 2 แรงงานเมียนมา ตาม MOU ที่ต้องการจัดทำเป็นหนังสือเดินทางฉบับใหม่ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนให้กับแรงงานเมียนมาที่ประสงค์จะกลับเข้ามาทำงานตาม MOU เมื่อวาระการจ้างงานครบ ๔ ปี แล้วโดยทางการเมียนมา ใช้คำว่ากลุ่มคน Function B โดยกลุ่มคนทั้งสองกลุ่มจะต้องยื่นเอกสารตามที่ทางการเมียนมากำหนด เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้ว จึงจะสามารถขอรับหนังสือเดินทางได้ที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจำประเทศไทยหรือ ศูนย์ออกหนังสือเดินทางบริเวณชายแดนแม่สาย – ท่าขี้เหล็ก, แม่สอด – เมียวดี และระนอง – เกาะสอง โดยวัตถุประสงค์ของศูนย์ฯคือ การเก็บข้อมูลของแรงงานเมียนมาที่ขอหนังสือเดินทาง ซึ่งจะเปิดดำเนินการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 ปี เปิดทำงานวันจันทร์ – วันเสาร์ เว้นวันอาทิตย์ และวันหยุดราชการไทยกำหนด ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. หรือจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ และจะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่นใดทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาความเหมาะสมของประเทศต้นทางเพื่อกำหนดให้คนต่างด้าวที่มีสัญชาติของประเทศต้นทางเข้ามาทำงานกรรมกรในประเทศไทย โดยพิจารณาเห็นชอบให้คนต่างด้าวที่ประสงค์จะเข้ามาทำงานกรรมกรในประเทศไทยต้องเป็นคนต่างด้าวที่มีสัญชาติของประเทศคู่ภาคีที่รัฐบาลไทยได้ทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) หากปรากฏว่ามีกำลังแรงงานของคนต่างด้าวของประเทศคู่ภาคีไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว เห็นควรให้มีการพิจารณาจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับประเทศที่เหมาะสมเพิ่มเติม ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน จะนำเรื่องการเปิดศูนย์เพื่อเก็บข้อมูลแรงงานชั่วคราวของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร และมาตรการในการอนุญาตให้คนต่างด้าวที่ประสงค์จะเข้ามาทำงานกรรมกรในประเทศไทยเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
พลเอก ประวิตรฯ กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเลนั้น ขณะนี้มีผลการนำเข้าแรงงานประมงตาม MOU จากประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑) ดังนี้ 1. นายจ้างจำนวน ๑,๒๔๔ ราย ยื่นคำร้องขอนำเข้าแรงงานจำนวน ๑๔,๔๙๖ คน (เมียนมา ๘,๕๑๓ คน ลาว ๔๗๘ คน กัมพูชา ๕,๕๐๕ คน) 2. กระทรวงแรงงานจัดส่งเรื่องไปดำเนินการที่สถานทูต จำนวน ๙,๗๖๘ คน (เมียนมา ๔,๖๔๖ คน ลาว ๓๕๔ คน กัมพูชา ๔,๗๖๘ คน) 3. นายจ้างยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวจำนวน ๑,๙๓๒ คน (เมียนมา ๘๗ คน ลาว ๖๗ คน กัมพูชา ๑,๗๗๘ คน) ขณะที่การดำเนินมาตรการเร่งด่วนชั่วคราวในการออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง ซึ่งกรมประมงได้เปิดให้นายจ้างแจ้งความต้องการจ้างแรงงาน ตั้งแต่วันที่ ๑๕ – ๒๖ พฤศจิกายน 2561 ณ 22 จังหวัดชายทะเล มีผลการดำเนินการคือ นายจ้างมาแจ้งความต้องการ จำนวน ๗๕๔ ราย แจ้งความต้องการจ้างแรงงาน ๑๖,๓๕๑ คน
ขอบคุณข้อมูลจาก :https://www.doe.go.th/
โดย admin | พ.ย. 3, 2018 | ข่าวสาร
28 อาชีพที่แรงงานต่างด้าว ห้ามทำ มีอะไรบ้าง ลองดูกันเลย
โดยมี 28 อาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำเด็ดขาด ให้คนต่างด้วยทำได้ 12 อาชีพ 3 แบบ คือ แบบไม่มีเงื่อนไข 1 แบบ แบบมีเงื่อนไข 8 แบบ และและแบบมีเงื่อนไขตามข้อตกลงระหว่างประเทศอาเซียน 3 อาชีพ
โดยในส่วนงานขายของหน้าร้าน ต่างด้าวทำได้ แค่เสิร์ฟและช่วยขายของ แต่ห้ามเก็บหรือทอนเงิน เฝ้าร้านแทนนายจ้างได้แค่ชั่วคราวและต้องมีนายจ้างอยู่ด้วย
ส่วนร้านเสริมสวย ทั้งร้านตัดผม และทำเล็บ ต่างด้าวทำได้แค่ปัดกวาดเช็ดถูภายในร้านและล้างเท้า มือได้เท่านั้น ห้ามตัดผม สระผม ตัดเล็บ ทาเล็บเด็ดขาด
โดย admin | ต.ค. 31, 2018 | ข่าวสาร
กรมการจัดหางาน แจงสถานการณ์การว่างงานไม่น่าห่วง เพราะมีอัตราลดลงทั้งจากเดือนที่แล้ว และช่วงเดียวกันของปีก่อน ระบุอายุ 20-24 ปี เป็นช่วงที่มีผู้ว่างงานมากที่สุด ซึ่งเป็นกลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา และเป็นการลาออกจากงานมากที่สุด พร้อมย้ำ ภาครัฐให้บริการรับสมัครงานหลากหลายช่องทาง
นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยท่าน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ไม่ได้นิ่งนอนใจ ถึงแม้จะพบว่า สถานการณ์การว่างงานไม่ได้เป็นที่น่ากังวล โดยได้สั่งการให้กรมการจัดหางานวางแนวทางช่วยเหลือให้ผู้ว่างงานหลายช่องทางทั้งศูนย์ที่นี่มีงานทำ (Job Ready Center) ที่ตั้งขึ้นเพื่อหางานให้กับผู้จบปริญญาตรี พร้อมทั้งให้คำปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ และจับคู่ตำแหน่งงาน (Matching) ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการ 11 แห่งทั่วประเทศ คือ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร หรือหางานผ่านทาง LINE JOBS ,Job fair, Mobile App รวมทั้งตู้งาน (Job Box) ที่ตั้งกระจายอยู่ทุกจุดทั่วประเทศ ได้เช่นกัน
นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2561 ที่มีคนว่างงานประมาณ 3.73 แสนคน ว่า ปัญหาการว่างงานนั้นไม่ได้รุนแรง และน่ากังวล เพราะหากนำอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2561 มาเปรียบเทียบกับอัตราการว่างงานในช่วงเดียวกันของปี 2560 จะพบว่ามีคนว่างงานลดลงประมาณ 7 หมื่นคน คือ จาก 4.43 แสนคน เป็น 3.73 แสนคน และที่ช่วงต้นปี 2561 มีอัตราการว่างงานสูงในร้อยละ 1.3-1.2 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.0 นั้น หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า การว่างงานในเดือนกันยายน 2561 จะเป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 1.78 แสนคน และเป็นผู้ที่เคยทำงานมาก่อน 1.95 แสนคน ซึ่งเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิตมากที่สุด รองลงมาเป็นภาคบริการ และภาคเกษตร โดยเหตุผลของการว่างงานพบว่า เป็นการลาออกจากงานมากที่สุดประมาณ 1 แสนคน รองลงมาเป็นนายจ้างปิดกิจการ ประมาณ 3 หมื่นคน และหมดสัญญาจ้างประมาณ 2 หมื่นคน ดังนั้น จากข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการว่างงานนั้นไม่ได้รุนแรง และน่ากังวล และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนๆ จะพบว่า อัตราการว่างงานปี 2561 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมามีแนวโน้มต่ำกว่าปี 2559 – 2560
สำหรับช่วงอายุที่มีผู้ว่างงานมากที่สุด คือ 20-24 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ว่างงานคือแรงงานกลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา โดยสาขาวิชาที่ว่างงานมากที่สุดคือพาณิชยศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 20.2 รองลงมา คือ ศึกษาศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 17.1 และสังคมศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 11.7 โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่พร้อมจะทำงานแต่เหตุผลที่ไม่หางานทำเพราะหางานมาแล้วแต่หาไม่ได้ ร้อยละ 79.1 รองลงมาคือ ไม่สามารถหางานที่เหมาะสมได้ร้อยละ 14.6 สะท้อนให้เห็นว่าผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ยังขาดคุณสมบัติตามที่ตลาดแรงงานต้องการ และส่วนหนึ่งว่างงานเพราะเลือกงาน ขณะที่ผู้ว่างงานในระดับปริญญาตรีอีกกลุ่มหนึ่งนั้น เป็นกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 22,525 คน หรือร้อยละ 19.59 ว่างงานมาแล้วโดยเฉลี่ย 1-2 เดือน หรือร้อยละ 29.14 โดยเคยทำงานในอาชีพเสมียนทั่วไปมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 13.69 รองลงมาคือ พนักงานขายในร้านค้า คิดเป็นร้อยละ 11.42 และผู้จัดการภัตตาคารและร้านอาหาร คิดเป็นร้อยละ 8.80 โดยสาเหตุที่ออกจากงานส่วนใหญ่มาจากการลาออกเอง คิดเป็นร้อยละ 59.45 รองลงมาคือ เลิก/หยุด/ปิดกิจการ คิดเป็นร้อยละ 8.97 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน นางเพชรรัตน์ฯ กล่าว